ภูมิแพ้ เป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่ตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้จึงทำให้เกิดอาการแพ้ โดยภูมิแพ้ที่พบมากถึง 20% ของประชากร คือ ‘ภูมิแพ้อากาศ’ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาสุขภาพที่มีจำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อาการภูมิแพ้ อาจไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิตแต่ได้สร้างความรำคาญให้กับผู้ป่วยและทำให้คุณภาพชีวิตและสุขภาพแย่ลง
ปัจจัยที่ทำให้อาการภูมิแพ้กำเริบ
- สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลง
เมื่อสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง อุณหภูมิและความชื้นในอากาศก็เปลี่ยนแปลงตาม ทำให้เชื้อโรค ฝุ่นละออง และสารก่อภูมิแพ้อื่นๆ ได้ฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศ เมื่อร่างกายได้รับสิ่งกระตุ้นเหล่านี้ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้กำเริบ
- ร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้
สารก่อภูมิแพ้กระตุ้นให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาทางระบบภูมิคุ้มกัน โดยมีหลากหลายแหล่งที่มีทั้งในอากาศ อาหาร ยา หรือสารเคมีต่างๆ เมื่อร่างกายได้สัมผัสกับสารก่อภูมิโดยตรง อาจทำให้มีอาการจาม คัดจมูก ระคายเคือง ผดผื่นคัน หรือผิวหนังบวมแดงจากการอักเสบ
- ภูมิคุ้มกันร่างกายอ่อนแอ
จากสถิติพบว่าคนในวัยทำงานหรือพนักงานออฟฟิศ มีภาวะภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เนื่องมาจากการทำงานหนัก มีความเครียดสะสม ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ และไม่มีเวลาออกกำลังกาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง

ยาแก้แพ้คืออะไร
ยาแก้แพ้ (anti-histamine) เป็นกลุ่มยาต้านสารฮีสตามีน ที่จะถูกนำมาใช้เมื่อมีอาการภูมิแพ้กำเริบ เช่น น้ำมูกไหล ไอ จาม ผดผื่นคัน ขอบตาระคายเคือง ลมพิษ หรือแพ้อาหาร เมื่อร่างกายได้รับสารก่อภูมิแพ้ จนเกิดอาการภูมิแพ้และหลั่งสารฮีสตามีนออกมาจึงทำให้เกิดอาการดังกล่าว
ข้อควรระวังในการใช้ยาแก้แพ้
- ไม่รับประทานยาแก้แพ้ร่วมกับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือยาที่ออกฤทธิ์กดสมองและยาระงับประสาท เพราะจะยิ่งทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการออกฤทธิ์กดประสาท และทำให้ง่วงซึมมากกว่าเดิม
- ยาแก้แพ้บางชนิด มีข้อจำกัดใช้ในผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์และอยู่ระหว่างให้นมบุตร ไม่ควรรับประทานยาแก้แพ้เอง ต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกชนิดและขนาดการกินที่เหมาะสม
- ผู้ที่รับประทานยาแก้แพ้ควรงดการขับขี่รถยนต์ และงดทำงานที่ใกล้ชิดกับเครื่องจักรกล เพราะยาแก้แพ้บางชนิดอาจทำให้มีอาการง่วงซึมและเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ หากมีอาการภูมิแพ้ที่ต้องรับประทานยา ควรหยุกพักผ่อนหรือเลือกชนิดยาแก้แพ้ที่ไม่ทำให้มีอาการง่วงซึม ดังนั้นควรเลือกรับประทานยาแก้แพ้แบบไม่ง่วง จึงเป็นทางออกที่ดีกว่าและไม่รบกวนคุณภาพชีวิตอีกด้วย
- ยาแก้แพ้รุ่นที่1 อาจทำให้มีเสมหะเหนียวข้นมากกว่าเดิม หากกินยาแก้แพ้แล้วมีอาการไอเพิ่มขึ้น ควรหยุดกินยาทันที
วิธีเลือกยาแก้แพ้
- ควรเลือกยาแก้แพ้ที่เหมาะกับตัวเอง และจุดประสงค์ต่อการใช้งาน
- ยาแก้แพ้ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาโรคภูมิแพ้ได้ดี ควรออกฤทธิ์ได้เร็วและสามารถออกฤทธิ์ได้นานถึง 24 ชั่วโมง เพื่อครอบคลุมอาการตลอดทั้งวัน
- ยาแก้แพ้ในรูปแบบแคปซูลนิ่มเป็นการพัฒนาเพื่อให้ยาแก้แพ้สามารถออกฤทธิ์ได้เร็ว ไม่ต้องรอการแตกตัวของยา และไม่จำเป็นต้องรับประทานหลายเม็ด
- ลอราทาดีน (loratadine) และเซทิริซีน (cetirizine) จัดอยู่ในกลุ่มยาแก้แพ้รุ่นที่ 2 ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่มีผลข้างเคียงน้อย ไม่ทำให้มีอาการง่วงซึม แต่อาจมีอาการง่วงซึมเล็กน้อยในผู้ใช้ยาบางราย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องขับขี่ยานพาหนะ
วิธีป้องกันไม่ให้อาการภูมิแพ้กำเริบ
- หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นและสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่นละออง ควันบุหรี่ เกสรดอกไม้ มลพิษจากท้องถนน หรือสารเคมีต่างๆ ตามสถานที่หรือบริเวณที่อาจทำให้ร่างกายเกิดอาการภูมิแพ้กำเริบ
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง
- สำหรับผู้ที่เป็นภูมิแพ้ควรทำความสะอาดบ้านหรือที่อยู่อาศัยเป็นประจำ เพื่อกำจัดฝุ่นละอองและสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ และควรเปลี่ยนผ้าปูที่นอนหรือปลอกหมอนอย่างน้อย 2 ครั้ง ต่อเดือน สามารถเป็นการลดสารก่อภูมิแพ้ที่อาจทำให้ภูมิแพ้กำเริบได้
- การออกกำลังกาย สามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ซึ่งรวมไปถึงโรคภูมิแพ้อีกด้วย การออกกำลังกายควรทำอย่างสม่ำเสมอ วันละ 30 นาที เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายแข็งแรงขึ้น
- เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะสารอาหารและวิตามินต่างๆ ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง เช่น วิตามินซี วิตามินดี สังกะสี และสารต้านอนุมูลอิสระ
พื้นฐานของการมีสุขภาพที่ดี คือการมีภูมิคุ้มกันร่างกายที่แข็งแรง ดังนั้นควรหมั่นใส่ใจดูแลสุขภาพของตัวเองและคนรอบข้างอยู่เสมอ เลือกรับประทานผักและผลไม้เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ และหากิจกรรมยามว่างเพื่อผ่อนคลายความเครียด เพราะสุขภาพดีไม่มีขาย จึงต้องเริ่มต้นที่ตัวคุณเอง